สวัสดีครับ.
ผมคือ ยูนิจี ผู้มีอิทธิพลด้านรถยนต์.
รถยนต์รุ่นเรือธงอย่าง ฮุนได แกรนเจอร์ เจนเนอเรชันที่ 7 (GN7) 'ดีออล นิว แกรนเจอร์' ได้เปิดตัวเมื่อเดือนพฤศจิกายนปี 2022 และได้รับความนิยมอย่างต่อเนื่องในฐานะ 'รถยนต์ขายดี' ที่ได้รับการยอมรับว่าเป็นรถยนต์ตัวแทนของประเทศ แม้ว่าในช่วงแรกจะประสบปัญหาคุณภาพหลายประการ แต่ส่วนใหญ่เป็นปัญหาซอฟต์แวร์มากกว่าปัญหาฮาร์ดแวร์ ทำให้ทางบริษัทสามารถแก้ไขได้อย่างรวดเร็วด้วยการอัปเดตซอฟต์แวร์แบบไร้สาย (OTA) ส่งผลให้ในปีที่แล้ว แกรนเจอร์ขายได้ถึง 113,047 คันในประเทศ ซึ่งทำให้เป็นรถยนต์ที่มียอดขายสูงที่สุดในกลุ่มรถยนต์นั่งของฮุนได.
โดยเฉพาะในปี 2023 ยอดขายของแกรนเจอร์ได้รับแรงขับเคลื่อนจากรุ่นไฮบริด ซึ่งยอดขายรุ่นไฮบริดคิดเป็นสัดส่วนมากกว่าครึ่งหนึ่งของยอดขายทั้งหมด ทำให้รถยนต์ไฮบริดกลายเป็นที่นิยมในฐานะรถยนต์ที่เป็นมิตรต่อสิ่งแวดล้อม โดยรุ่นไฮบริดมีประสิทธิภาพการประหยัดน้ำมันที่ดี ส่งผลให้ค่าใช้จ่ายในการดูแลรักษาต่ำ ซึ่งเป็นที่ชื่นชอบของลูกค้าและช่วยเพิ่มยอดขายของแกรนเจอร์อย่างเห็นได้ชัด.
แน่นอนว่า ความนิยมของแกรนเจอร์ไฮบริดไม่เพียงเกิดจากประสิทธิภาพการประหยัดน้ำมันเท่านั้น แต่ยังมาจากระบบไฮบริด 'E-Motion Drive' ที่ใช้มอเตอร์ในการปรับปรุงสมรรถนะการขับขี่ โดย 'E-Motion Drive' ประกอบด้วย 'E-Comfort Drive' ที่มอบความนุ่มนวลในการขับขี่บนถนนที่ไม่เรียบและลดการสั่นสะเทือน รวมถึง 'E-Dynamic Drive' ที่สร้างสมรรถนะการขับขี่ที่มีเสถียรภาพและพลิกผันในสถานการณ์การเร่งความเร็วและการเข้าโค้ง ทำให้รถยนต์สามารถให้ความรู้สึกที่เหมาะสมกับสภาพถนนในประเทศได้อย่างยอดเยี่ยม.
นอกจากนี้ ฮุนได แกรนเจอร์ ยังได้รับการออกแบบโดยสะท้อนความสามารถด้านการออกแบบและเทคโนโลยีที่ทันสมัย ซึ่งทำให้มันเป็นรถยนต์ที่ได้รับความนิยมทั้งในฐานะรถครอบครัวและรถยนต์สำหรับผู้บริหาร โดยเฉพาะที่นั่งแถวที่สอง ซึ่งมีฟีเจอร์พิเศษ เช่น ที่นั่งแถวที่สองแบบปรับเอนได้และม่านไฟฟ้าสำหรับที่นั่งแถวที่สอง ทำให้ผู้โดยสารรู้สึกสบายอย่างแตกต่าง.
ในขณะเดียวกัน เพื่อแข่งขันกับฮุนได แกรนเจอร์ ค่ายรถยนต์ค่ายใหม่อย่างค่ายเกียได้เปิดตัวรถยนต์รุ่นใหม่อย่าง K8 ที่มีการปรับโฉมใหม่ 'เดอะ นิว K8' ส่งผลให้ความสนใจในกลุ่มรถยนต์นั่งขนาดกลางในประเทศสูงขึ้นอย่างมาก โดยเมื่อปลายปีที่แล้วมีการเปิดตัวเจนเนซิส G80 ที่ปรับโฉมใหม่ และในเดือนสิงหาคมปีนี้จะมีการเปิดตัว K8 ที่ปรับโฉมใหม่ตามมา ซึ่งฮุนไดก็ได้ตอบสนองด้วยการเปิดตัวรุ่นปรับปรุงของแกรนเจอร์ '2025 แกรนเจอร์' ในเดือนมิถุนายนที่ผ่านมา เพื่อรักษาความนิยมอย่างต่อเนื่อง.
รุ่นปรับปรุง '2025 แกรนเจอร์' ได้ติดตั้งระบบความปลอดภัยอัจฉริยะล่าสุด 'Lane Keeping Assist (LFA) 2' เป็นอุปกรณ์มาตรฐานในทุกรุ่น และยังมีฟีเจอร์ 'Steering Wheel Grip Detection' ที่เป็นอุปกรณ์มาตรฐานในทุกรุ่นอีกด้วย โดย 'Lane Keeping Assist (LFA) 2' ได้ขยายพื้นที่การทำงานของกล้องด้านหน้าและปรับปรุงวิธีการควบคุมการเลี้ยวเพื่อเพิ่มประสิทธิภาพในการรักษาเส้นกลางเลน.
นอกจากนี้ ยังได้ขยายขอบเขตการอัปเดตซอฟต์แวร์แบบไร้สายไปยังระบบควบคุมการปรับอากาศ เพื่อให้รถยนต์สามารถรักษาคุณสมบัติใหม่ได้อย่างต่อเนื่อง รวมถึงการแจ้งเตือนการสั่นสะเทือนของเกียร์ R แบบคอลัมน์และการติดตั้งถังดับเพลิงในห้องโดยสาร เพื่อเพิ่มความปลอดภัยให้กับทั้งผู้ขับขี่และผู้โดยสาร แต่ราคาของรถยนต์กลับถูกปรับขึ้นเพียง 25,000 วอน.
โดยเฉพาะฮุนไดให้ความสำคัญกับรุ่นสูงสุดของแกรนเจอร์อย่างรุ่นคาลลิเกรฟฟี โดยได้มีการติดตั้งระบบแสดงข้อมูลบนกระจกหน้ารถมูลค่า 990,000 วอน และเบาะหนังนาปาแบบใหม่ แต่การปรับราคาของรถกลับอยู่ที่ 830,000 วอน ทำให้สามารถมองเห็นการปรับปรุงคุณภาพของสินค้าในระดับที่ใกล้เคียงกับการลดราคา.
การแข่งขันในกลุ่มรถยนต์นั่งขนาดกลางระดับพรีเมียมที่หรูหรากำลังเข้มข้นมากขึ้น ทำให้ฮุนไดต้องมีการวางกลยุทธ์เพื่อรับมือ ซึ่งในครั้งนี้ K8 ที่เปิดตัวใหม่ก็ได้เปลี่ยนจากแนวทางการมุ่งเน้นคุณภาพราคาในอดีตมาเป็นภาพลักษณ์ที่หรูหรา ทำให้การแข่งขันในกลุ่มรถยนต์นั่งขนาดกลางระหว่างแกรนเจอร์ K8 และเจนเนซิส G80 มีความดุเดือดมากขึ้น โดยเฉพาะอย่างยิ่งในกลุ่มที่ไม่มีรุ่นไฮบริดอย่างเจนเนซิส G80 ที่ยังอยู่ในขั้นตอนการรับรองรุ่นไฮบริดของ K8 ที่เปิดตัวใหม่ ทำให้ความต้องการรถยนต์ไฮบริดจะมุ่งไปที่แกรนเจอร์ไฮบริดในระยะเวลาหนึ่ง.
นอกจากนี้ ราคาของแกรนเจอร์ 2025 ที่มีการปรับราคาเพียงเล็กน้อยเมื่อเปรียบเทียบกับ K8 รุ่นใหม่ที่มีราคาสูงขึ้น ทำให้แกรนเจอร์ยังคงถือเป็นตัวเลือกที่คุ้มค่า โดยคาดว่าการเลือกของลูกค้าในช่วงครึ่งหลังของปีนี้ในกลุ่มรถยนต์นั่งขนาดกลางในประเทศอาจเกิดการเปลี่ยนแปลงครั้งใหญ่.
ในขณะเดียวกัน '2025 แกรนเจอร์' จะมีการจำหน่ายในสองรุ่นหลักคือรุ่นเบนซินและรุ่นไฮบริด โดยราคาเริ่มต้นของรุ่นเบนซิน 2.5 Premium อยู่ที่ 3,768,000 วอน (ประมาณ 2,812 USD), รุ่น Exclusive ที่ 4,505,000 วอน (ประมาณ 3,331 USD), รุ่น Calligraphy ที่ 4,721,000 วอน (ประมาณ 3,502 USD), และรุ่นเบนซิน 3.5 Premium ที่ 4,015,000 วอน (ประมาณ 3,019 USD), รุ่น Exclusive ที่ 4,505,000 วอน (ประมาณ 3,331 USD), รุ่น Calligraphy ที่ 4,968,000 วอน (ประมาณ 3,738 USD) ในขณะที่รุ่นไฮบริดเริ่มต้นที่ Premium ที่ 4,291,000 วอน (ประมาณ 3,233 USD), รุ่น Exclusive ที่ 4,781,000 วอน (ประมาณ 3,598 USD), และรุ่น Calligraphy ที่ 5,244,000 วอน (ประมาณ 3,941 USD)
#แกรนเจอร์ #แกรนเจอร์ไฮบริด #แกรนเจอร์ปรับโฉม #2025แกรนเจอร์ #แกรนเจอร์ปรับรุ่น #แกรนเจอร์รุ่นใหม่ #ดีออลนิวแกรนเจอร์ #แกรนเจอร์GN7 #แกรนเจอร์คาลลิเกรฟฟี #แกรนเจอร์ราคา #แกรนเจอร์K8 #ฮุนไดแกรนเจอร์ #รถยนต์ขนาดกลาง #รถยนต์ #รถยนต์เรือธง #ข่าวรถยนต์ #ข่าวรถยนต์ใหม่ #ข่าวรถใหม่ #เวลคาร์